1. สารประกอบไอออนิก (Ionic Compounds)
สารประกอบไอออนิกทุกชนิดประกอบด้วยโลหะ(metal) และอโลหะ (nonmetal) เช่น NaCl (ยกเว้น เกลือแอมโมเนียม เช่น NH4Cl) ซึ่งในการอ่านชื่อสารประกอบ
ไอออนิกนั้นจะต้องอ่านชื่อของไอออนบวก (cation) ก่อนแล้วตามด้วยไอออนลบ (anion) เช่น
ชื่อไอออนบวก ชื่อไอออนลบ
(cation name)(anion name)
ก่อนที่จะอ่านชื่อสารประกอบไอออนิกนั้น นักเรียนจำเป็นต้องสามารถเขียนและอ่านชื่อไอออนได้ไอออนที่ง่ายที่สุดคือ อะตอมเดี่ยว (monatomic) ซึ่ง ไอออนอะตอมเดี่ยว (monatomic ion)เป็นไอออนที่เกิดจากอะตอมเดี่ยว (single atom) ในตารางที่ 2.1 เป็นรายการของไอออนเดี่ยวธรรมดาของธาตุในหมู่หลัก (main-group elements) ซึ่งมีกฎในการอธิบายเกี่ยวกับประจุของไอออนเดี่ยวดังนี้
2. กฎในการอธิบายเกี่ยวกับประจุของไอออนเดี่ยว
กฎการอธิบายเกี่ยวกับประจุของไอออนเดี่ยว ดังนี้
2.1 ธาตุโลหะที่อยู่ในหมู่หลัก (main-group) เกือบทั้งหมด เป็นไอออนเดี่ยวที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวกเท่ากับเลขหมู่ของตารางธาตุ เช่น อลูมิเนียม อยู่ในหมู่ IIIA
ซึ่งเป็นอะตอมเดี่ยว Al3+2.2 ธาตุโลหะบางชนิดที่มีเลขอะตอมมาก ๆ ยกเว้นที่กล่าวถึงในกฎของที่ 1 ธาตุเหล่านี้จะให้ไอออนธรรมดาที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก และเท่ากับเลขของกลุ่ม
ลบด้วยสอง นอกจากนี้ยังมีไอออนบวกที่มีประจุไฟฟ้าเท่ากับเลขที่หมู่อีกด้วย เช่น ไอออนธรรมดา (common cations) ของตะกั่วคือ Pb2+(เลขที่ของหมู่คือ 4 ประจุไฟฟ้าจึงเท่ากับ 4-2) นอกจากนี้ในสารประกอบบางชนิดประกอบด้วย Pb2+บางชนิดประกอบด้วย Pb4+
ตารางที่ 2.1 ไอออนเดี่ยวธรรมดาของธาตุหมู่หลัก
ที่มา : Ebbing and Gammon (1999 : 65)
2.3 ธาตุแทรนซิชันเกือบทุกชนิดเกิดเป็นไอออนบวกได้มากกว่า 1 ชนิด แต่ละชนิดจะมีประจุไฟฟ้าแตกต่างกัน และเกือบทุกธาตุมีจะมี 1 ไอออนที่มีประจุไฟฟ้าเป็น +2 เช่น เหล็กมีไอออนธรรมดา เป็น Fe2+ และ Fe3+ ทองแดงก็มีไอออนธรรมดา เป็น Cu+ และ Cu2+
2.4 ไอออนเดี่ยว ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบของธาตุอโลหะในหมู่หลัก จะเท่ากับเลขหมู่ลบด้วย 8 เช่น ออกซิเจนมีไอออนเดี่ยว เป็น O2- (เลขที่หมู่คือ 6 ดังนั้นประจุของไอออนจึงเป็น 6-8)
นอกจากนี้ สูตรของไอออนเดี่ยว เขียนได้โดย เขียนสัญลักษณ์ของธาตุนั้น แล้วเขียนประจุไฟฟ้าไว้ทางมุมขวาบนของสัญลักษณ์ โดยตัวเลขที่บอกขนาดให้เขียนไว้ข้างหน้าของประจุ + หรือ – โดยถ้าประจุไอออนเป็น +1 หรือ -1 ก็ให้ละไว้
ไม่ต้องเขียนเลข 1
3. กฎสำหรับการอ่านชื่อไอออนเดี่ยว
กฎสำหรับการอ่านชื่อไอออนเดี่ยวไว้ดังนี้
3.1 ชื่อของไอออนเดี่ยว ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก (cations) จะเรียกตามชื่อของธาตุ ถ้ามีเพียงไอออนเดียว เช่น Al3+ จะเรียกว่า อะลูมิเนียมไอออน (aluminium ion) , Na+ จะเรียกว่า โซเดียมไอออน (sodium ion)
3.2 ถ้าไอออนบวกของธาตุใด มีประจุมากกว่า 1 ชนิด ให้ระบุไอออนนั้นด้วย เลขโรมัน ตามประจุของไอออนนั้น เช่น Fe2+ เรียกว่าไอร์ออน (II) ไอออน และ Fe3+ เรียกว่า ไอร์ออน (III)ไอออน
กรณีที่ชื่อธาตุนั้นมาจากภาษลาติน ตามระบบของการเรียกชื่อ (nomenclature) แล้วจะต้องเติมคำว่า “-อัส” (-ous) และ “-อิก” (-ic) ต่อท้ายในชื่อหลัก เพื่อระบุให้ทราบว่าไอออนนั้นมี ประจุต่ำกว่า (lowercharge) และ มีประจุสูงกว่า (higher charge) ตามลำดับ เช่น Fe2+ จะเรียกว่า เฟอร์รัสไอออน (ferrous ion) ; Fe3+ จะเรียกว่า เฟอร์ริกไอออน(ferric ion) Cu+ จะเรียกว่า คิวปรัสไอออน (cuprous ion) ; และ Cu2+ จะเรียกว่า คิวปริกไอออน (cupric ion)
ตารางที่ 2.2 เป็นรายการของไอออนบวกธรรมดา ของธาตุแทรนซิชันบางธาตุ
ซึ่งเกือบทั้งหมดของธาตุเหล่านี้จะมีไอออนมากกว่า 1 ชนิด ดังนั้นจึงต้องมีการระบุชนิดของประจุด้วยเลขโรมัน มีเพียงไม่กี่ธาตุที่มีไอออนชนิดเดียว เช่น สังกะสี
มีไอออนชนิดเดียว ดังนั้นจึงเขียนตามชื่อของโลหะตามปกติซึ่งไม่ผิด แต่อย่างไรก็ตามเวลาอ่านชื่อของ Zn2+ ก็ให้อ่านเป็น ซิงค์ (II) ไอออน
3.3 ชื่อของไอออนเดี่ยว ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ (anions) จะอ่านตามชื่อหลักของธาตุ แล้วต่อท้ายด้วยคำว่า “-ไอด์” (-ide) เช่น Br- จะอ่านว่า โบรไมด์ไอออน (bromide ion) ซึ่งเกิดจากชื่อหลัก คือโบรม- (brom-) สำหรับ โบรมีน (bromine) และต่อท้ายด้วยคำว่า –ไอด์
ตารางที่ 2.2 แสดงรายการของไอออนบวกธรรมดา ของธาตุแทรนซิชันบางธาตุ
ที่มา : Ebbing and Gammon (1999 : 66)
4. ไอออนที่มีหลายอะตอม (polyatomic ion) คือ ไอออนที่มีสองอะตอมหรือมากกว่าสองอะตอมเกิดพันธะเคมีกัน แล้วมีประจุไฟฟ้าเกิดขึ้น ในตารางที่ 2.3
เป็นรายการของไอออนที่มีหลายอะตอม สำหรับสองรายการแรกนั้นเป็นไอออนบวก (Hg2+ และ NH4+) นอกนั้นเป็นไอออนลบ สำหรับการเขียนสูตรของไอออนเหล่านี้ค่อนข้างจะซับซ้อน ซึ่งมีแนวทางดังนี้
4.1 ไอออนเกือบทั้งหมดในตารางที่ 2.3 เป็นพวก ออกโซแอนไอออน (oxoanions) หรือบางทีก็เรียกว่า ออกซีแอนไอออน(oxyanions) ซึ่งมีออกซิเจนต่ออยู่กับอีกธาตุหนึ่ง (เราเรียกอะตอมที่ออกซิเจนมาต่อด้วยนี้ว่าอะตอมกลาง) เช่น กำมะถัน (Sulfur) เกิดเป็นสารพวกออกโซแอนไอออนที่มีชื่อว่าซัลเฟต ไอออน (sulfate ion, SO42-) และซัลไฟต์ไอออน (sulfite ion, SO32-)
ตารางที่ 2.3 แสดงรายการของไอออนที่มีหลายอะตอมบางชนิด
ที่มา : Ebbing and Gammon (1999 : 67)
4.2 การอ่านชื่อของ ออกโซแอนไอออน ตามคุณลักษณะของธาตุ และต่อท้ายด้วยคำว่า “-เอต” (-ate) หรือ “-ไอต์” (-ite) นี้ ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ คำที่นำมาต่อท้ายนี้จะมีความสัมพันธ์กับจำนวนอะตอมของออกซิเจนในออกโซแอนไอออน กล่าวคือ ชื่อของออกโซแอนไอออนที่มีจำนวนอะตอมของออกซิเจนมากกว่า จะต่อท้ายด้วยคำว่า –เอต และชื่อของ ออกโซแอนไอออนที่มีจำนวนอะตอมของออกซิเจนน้อยกว่าจะต่อท้ายด้วยคำว่า –ไอต์ เช่น SO32- จะอ่านว่า ซัลไฟต์ไอออน และ SO42- จะอ่านว่า ซัลเฟตไอออน และตัวอย่างอื่น ๆ เป็น ออกโซแอนไอออน
ของไนโตรเจนในตาราง 2.3
NO2- อ่านว่า nitrite ion ในขณะที่ NO3- อ่านว่า nitrate ion
โชคไม่ดีที่คำต่อท้ายไม่ได้บอกจำนวนอะตอมที่แท้จริงของออกซิเจนในออกโซแอนไอออน แต่จะมีความสัมพันธ์กับจำนวนออกซิเจนเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้ากำหนดสูตรของไอออนลบมาให้สองสูตรก็สามารถบอกชื่อของไอออนลบนั้นได้
4.3 ในบางกรณี คำว่า –ไอต์ และ –เอต ไม่เพียงพอในการบอกคุณลักษณะของธาตุ เช่น ออกโซแอนไอออนของคลอรีน ในตาราง 2.3 ได้แก่ ClO-, ClO2- , ClO3- , and ClO4- ในกรณีนี้ จะเติมคำเข้าไปหน้าชื่อหลัก (prefixes) เช่น hypo- (ไฮโป-) และ per- (เปอร์-) ถูกใส่เข้าไปเพื่อช่วยขยายความหมายของออกโซแอนไอออน
สองตัวที่มีออกซิเจนแตกต่างกัน ให้ชัดเจนมากขึ้น และสำหรับออกโซแอนไอออน สองตัวที่มีจำนวนออกซิเจนน้อยที่สุดคือ ClO- and ClO2- ชื่อของทั้งสองไอออนจะมีคำว่า –ไอต์(-ite) ต่อท้ายโดยไอออนที่มีออกซิเจนน้อยกว่าจะใส่คำว่า ไฮโป (hypo-) เข้าไปข้างหน้าด้วย ดังนี้
ClO- hypochlorite ion
ClO2- chlorite ion
ส่วนออกโซแอนไอออนสองตัวที่มีออกซิเจนมากที่สุด (ClO3- , and ClO4- ) ชื่อของสองไอออนนี้จะใส่คำว่า –เอต (-ate) ต่อท้ายชื่อหลักเหมือนกัน และจะมีคำว่า เปอร์- (per-) เติมเข้าไปข้างหน้าสำหรับไอออนที่จำนวนออกซิเจนมากกว่า ดังนี้
ClO3- chlorate ion
ClO4- perchlorate ion
4.4 ไอออนที่มีหลายอะตอม บางไอออน ในตาราง 2.3 เป็น ออกโซแอนไอออน
ที่มีการเกิดพันธะกับไฮโดรเจนไอออน (H+) หนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่ง ไอออน ซึ่งบางครั้งออกโซแอนไอออนเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็นกรดที่มีไอออนลบ (acid anions) เพราะ
กรดคือสารที่ให้ H+ เช่น โมโนไฮโดรเจนฟอสเฟต ไอออน (monohydrogen phosphate ion ; HPO42-) จะมี ฟอสเฟตไอออน (PO43-) เกิดพันธะกับ ไฮโดรเจนไอออน (H+) คำว่า โมโน- (mono-) มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า“หนึ่ง”(one)
กรณีคล้าย ๆ ได- (di-) ก็มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า “สอง” (two) ดังนั้น
ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน ก็คือ มีฟอสเฟตไอออน เกิดพันธะกับไฮโดรเจนไอออน
2 ไอออน อย่างไรก็ตามมีบางไอออนยังใช้วิธีเรียกแบบเดิม เช่น ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (hydrogen carbonate ions) และ ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน (hydrogen
sulfate ions) จะเรียกว่าไบคาร์บอเนต (bicarbonate) และไบซัลเฟต (bisulfate) ตามลำดับ
4.5 ไอออนลบกลุ่มสุดท้าย ในตาราง 2.3 คือ ไธโอซัลเฟตไอออน (S2O32-) คำว่า
ไธโอ- (thio-) มีความหมายว่า ออกซิเจนใน (SO42-) ถูกแทนที่ด้วยอะตอมของกำมะถัน
5. การอ่านชื่อของสารประกอบไอออนิก
เมื่อโลหะเช่น โซเดียม รวมกับอโลหะ เช่น คลอรีน จะมีสารประกอบเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นสารประกอบที่ประกอบด้วยไอออน โดยโลหะจะเสียหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งอิเล็กตรอน กลายเป็นไอออนบวก และอโลหะจะรับหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งอิเล็กตรอนเกิดเป็นไอออนลบ ทำให้ได้สารที่เรียกว่าสารประกอบไอออนคู่ (binary ionic compound) สารประกอบไอออนคู่จะประกอบด้วยไอออนบวก (cation) ซึ่งปกติแล้วจะเขียนไว้หน้าสูตร แล้วตามด้วยไอออนลบ (anion) ดังนั้นชื่อของสารประกอบจึงเรียกตามชื่อของไอออนและถ้าใช้ไอออนบวกของโลหะเป็นเกณฑ์แล้ว สามารถแบ่งสารประกอบไอออนคู่ ได้สองชนิดคือ 1) เป็นสารประกอบที่มีโลหะเกิดเป็นไอออนบวกเพียงชนิดเดียว 2) เป็นสารประกอบที่มีโลหะเกิดเป็นไอออนบวกสองหรือมากกว่าสองชนิดที่แตกต่างกัน
5.1 สารประกอบไอออนิกชนิดที่ 1 มีกฎการเรียกชื่อดังนี้
5.1.1 ปกติจะเรียกชื่อของไอออนบวกก่อน แล้วตามด้วยไอออนลบ
5.1.2 ไอออนบวก (ที่เกิดจากอะตอมเดี่ยว) ถูกตั้งชื่อจากชื่อของธาตุ เช่น Na+ ถูกเรียกว่า โซเดียมในการเรียกชื่อสารประกอบที่มีไอออนนั้นเป็นองค์ประกอบ
5.1.3 ไอออนลบ (ที่เกิดจากอะตอมเดี่ยว) ถูกตั้งชื่อโดยเรียกส่วนแรกของชื่อธาตุ แล้วเติมคำว่า –ไอด์ (-ide) ต่อท้าย ดังนั้น Cl- จึงถูกเรียกว่า คลอไรด์
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการเรียกชื่อตามกฎนี้ จะยกตัวอย่างการเรียกชื่อสารประกอบบางชนิด เช่น NaI มีชื่อว่า โซเดียมไอโอไดด์ (Sodium iodide) ประกอบด้วย Na+ (โซเดียมไอออน) และ I- (ไอโอไดด์ไออน) กรณีคล้าย ๆ กัน สารประกอบ CaO ถูกเรียกว่า แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) เพราะประกอบด้วย Ca2+ (แคลเซียมไอออน) และ O2-(ออกไซด์ไอออน)
เพื่อให้เกิดความชัดเจน เกี่ยวกับกฎการอ่านชื่อสารประกอบไอออนคู่ (binary compound)ให้พิจารณาตัวอย่างดังตารางที่ 2.4
ตารางที่ 2.4 ชื่อสารประกอบไอออนคู่บางชนิด
ที่มา : Zumdahl (2004 : 126)
ข้อสังเกต เกี่ยวกับสูตรของสารประกอบไอออนิก ก็คือไอออนเดี่ยวถูกนำเสนอด้วยสัญลักษณ์ธาตุ เช่น Cl จะหมายถึง Cl-, Na จะหมายถึง Na+ อย่างไรก็ตามเมื่อแต่ละไอออนถูกแสดง จะมีการนำเสนอประจุของไอออนด้วย ดังนั้นสูตรของโพแทสเซียมโบรไมด์จึงเขียนได้เป็น KBr แต่เมื่อโพแทสเซียม และโบรไมด์ไอออนแสดงแยกกันต่างหาก และเขียนเป็น K+ และ Br-
ตัวอย่างที่ 2.1 จงเขียนชื่อของสารประกอบชนิดอะตอมคู่ จากสูตรที่กำหนดให้ต่อไปนี้
a. CsF b. AlCl3 c. MgI2
วิธีทำ เราจะเรียกชื่อสารประกอบดังกล่าวตามระบบต่อไปนี้
a. CsF
ขั้นที่ 1 พิจารณาหาไอออนบวก และไอออนลบ ซึ่ง Cs เป็นธาตุในหมู่ที่ 1 จึงเกิดเป็นไอออนที่มีประจุไฟฟ้า เป็น 1+ หรือ Cs+ และเพราะ F เป็นธาตุในหมู่ 7 จึงเกิดเป็นไอออนที่มีประจุไฟฟ้าเป็น 1- หรือ F-
ขั้นที่ 2 การอ่านชื่อของไอออนบวก, Cs+ จะเรียกว่า ซีเซียม ซึ่งจะเรียกเหมือนกับชื่อของธาตุซีเซียม
ขั้นที่ 3 การอ่านชื่อของไอออนลบ, F- จะถูกเรียกว่า ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นชื่อของธาตุฟลูออรีนที่มีการเติมคำว่า–ไอด์ (-ide) เข้าไปในตอนท้ายของชื่อธาตุ
ขั้นที่ 4 การอ่านชื่อของสารประกอบ ปฏิบัติโดยการรวมชื่อของแต่ละไอออนเข้าด้วยกัน ดังนั้นชื่อของ CsF จึงเป็น ซีเซียมฟลูออไรด์
(ข้อควรจำ ชื่อของไอออนบวกจะถูกอ่านก่อน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น